บล็อกลม (Air Impact Wrench) คืออะไร ? เทียบกับบล็อกไฟฟ้า?

บล็อกลม (Air Impact Wrench) คืออะไร ? ทำไมถึงเป็นที่นิยมในอู่ซ่อมรถ

บล็อกลม คือ อุปกรณ์ลมชนิดหนึ่ง ที่ต้องใช้พลังงานลมในการขับเคลื่อนชิ้นส่วนภายในเพื่อให้เกิดการหมุนที่แกนบล็อกลม ต้องใช้คู่กับลูกบล็อกขนาดต่างๆ เพื่อถอดน็อตหรือขันน็อต จึงจำเป็นต้องใช้คู่กับปั๊มลมโดยมีสายลมเป็นตัวเชื่อมให้ลมผ่านไปยังบล็อกลม

ทำไมบล็อกลมจึงเป็นที่นิยมสำหรับอู่ซ่อมรถขนาดต่างๆ

เพราะบล็อกลมมีส่วนประกอบที่น้อยชิ้นและไม่มีกลไกที่ซับซ้อน จึงทำให้บล็อกลมค่อนข้างทนทานและดูแลรักษาง่ายกว่าบล็อกประเภทอื่นๆ รวมถึงอู่ซ่อมรถจำเป็นต้องมีปั๊มลมไว้ใช้งานเพื่อใช้เติมลมยาง เครื่องถอดล้อ เครนยกรถ และอุปกรณ์ต่างๆ การเลือกใช้บล็อกลมจึงเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าและสะดวกกว่านั่นเอง

บล็อกลมที่เราจะพบเห็นในท้องตลาดบ่อยๆ จะมี 3 ขนาด ดังนี้

1.) บล็อกลมขนาด 4 หุน หรือ บล็อกลมขนาด 1/2 นิ้ว

เหมาะสำหรับอู่ซ่อมรถจักรยานยนต์ ควรใช้คู่กับปั๊มลมขนาด 1/2 แรงม้า หรือปั๊มลมที่มีลูกสูบขนาด 51 มม. จำนวน 2 หัว ความจุถังควรใหญ่กว่า 60 ลิตร มีแรงดันสูงประมาณ 6- 8 บาร์ ซึ่งบล็อกลมขนาด 4 หุน มักจะถูกใช้ถอดล้อและถอดอุปกรณ์ชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์ เพราะมีกำลังมากกว่าไขควงไฟฟ้านั่นเอง

2.) บล็อกลมขนาด 6 หุน หรือ บล็อกลมขนาด 3/4 นิ้ว

เหมาะสำหรับอู่ซ่อมรถยนต์ รถกระบะ ต้องใช้คู่กับปั๊มลมขนาด 2 แรงม้า หรือ หัวปั๊มลมมีลูกสูบขนาด 65 มม. จำนวน 3 หัว มีความจุถังประมาณ 150 ลิตรขึ้นไป และทำแรงดันได้ 8-10 บาร์

3.) บล็อกลมขนาด 8 หุน หรือ บล็อกลม 1 นิ้ว

เหมาะสำหรับงานซ่อมรถ ที่มีขนาดตั้งแต่หกล้อขึ้นไป โดยต้องใช้คู่กับปั๊มลมที่มีแรงดัน 10 บาร์ขึ้นไป และขนาดของสายลมต้องพอเหมาะ เพื่อที่จะให้ลมที่มีแรงดันและปริมาณมาก ไหลผ่านไปขับเลื่อนลูกบล็อกได้ ซึ่งในงานซ่อมรถบรรทุก มักจะยิงน็อตที่แรงดัน 14 บาร์ หรือ 200 ปอนด์ ขึ้นไป

บล็อกลม กับ บล็อกไฟฟ้า ต่างกันอย่างไร เลือกใช้อันไหนดี

อีกหนึ่งปัญหาโลกแตก เมื่อความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ทำให้เกิดบล็อกไฟฟ้าขึ้นมาบนโลกนี้ และเริ่มเป็นที่แพร่หลายอย่างมากในท้องตลาด ซึ่งไม่สามารถสรุปได้ว่าบล็อกแบบไหนดีกว่ากัน ขึ้นอยู่กับการใช้งานมากกว่า เรามาดูข้อดีและข้อเสียของบล็อกแต่ละแบบกัน

ข้อดีของบล็อกลม
• ราคาถูกกว่า
• ทนทาน
• ดูแลรักษาง่าย
• อะไหล่หาง่ายกว่า
• หาซื้อง่าย เป็นที่นิยมแพร่หลาย

ข้อเสียของบล็อกลม
• ไม่สามารถใช้งานใด้ถ้าไม่มีปั๊มลม
• ไม่สะดวก ถ้าหากต้องมีการเคลื่อนที่ในการทำงาน

ข้อดีของบล็อกไฟฟ้า
• เคลื่อนย้ายสะดวก
• ไม่มีปั๊มลมก็สามารถใช้งานได้

ข้อเสีย
• น้ำหนักเยอะกว่า
• อุปกรณ์ซับซ้อนกว่า
• อายุของแบตเตอร์รี่มีข้อจำกัด จำเป็นต้องมีหลายก้อน
• ราคาสูงกว่า

สรุป

บล็อกลมและบล็อกไฟฟ้า ต่างมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน เราควรจะเลือกบล็อกที่เหมาะกับการใช้งานของเรามากกว่า หากเป็นงานที่ใช้บล็อกลมอยู่กับที่ ไม่ได้เปลี่ยนสถานที่บ่อยและมีปั๊มลมอยู่แล้ว การเลือกใช้บล็อกลมจะเหมาะสมและประหยัดกว่า แต่ถ้าหากต้องการใช้งานนอกสถานที่บ่อยๆ มีการย้ายหน้างาน การเลือกใช้บล็อกไฟฟ้าน่าจะเหมาะสมและสะดวกกว่า

วิธีดูแลรักษาบล็อกลม

• หลีกเลี่ยงน้ำและความชื้น เพราะบล็อกลมทำจากโลหะ ความชื้นจะทำให้เกิดสนิมกับชิ้นส่วนของบล็อกลมได้ เพราะฉะนั้นไม่ควรให้บล็อกลมโดนน้ำหรือความชื้นจะดีที่สุด
• ห้ามโยนหรือกระแทก เพราะบล็อกลมค่อนข้างมีน้ำหนักเยอะ บ่อยครั้งที่เผลอหลุดมือหล่นกระแทกพื้น ซึ่งอาจนำมาซึ่งความเสียหาย จึงควรใช้ด้วยความระมัดระวัง
• ใช้น้ำมันหล่อลื่นอยู่เสมอ บล็อกลมมักจะต้องเจอกับน้ำที่มากับปั๊มลมและสายลม รวมถึงความร้อนขณะใช้งาน การน้ำมันหล่อลื่นหยดเพียงเล็กน้อย ก่อนและหลังใช้งานจะช่วยลดการสึกหรอและความร้อนที่เกิดขึ้นกับบล็อกลม

การเลือกซื้อบล็อกลม ควรจะเลือกโดยพิจารณาจากหัวข้อต่างๆ ดังนี้

• น้ำหนักไม่มากและน้อยจนเกินไป ควรมีน้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 15-20 กิโลกรัม เพื่อความสะดวกในการใช้งาน
• วัสดุควรเป็นอลูมิเนียมหรือเหล็กเกรดดี ควรเลือกสินค้าที่ผ่านการผลิตด้วยความปราณีต รอยเชื่อมต่อเรียบร้อยดี ไม่มีรอยร้าว ข้อต่อแน่นทุกจุด
• มีอะไหล่รองรับ บล็อกลมเป็นสิ่งของที่ต้องรองรับงานหนัก เมื่อใช้งานไปสักพัก ชิ้นส่วนก็ต้องสึกหรอ ควรจะเลือกแบรนด์ที่มีอะไหล่รองรับทุกชิ้น
• มีบริการหลังการขาย ควรเลือกบล็อกลมที่มีรับประกันหรือให้คำปรึกษา เมื่อซื้อสินค้าไปแล้ว บริษัทผู้จำหน่ายควรให้คำปรึกษาและให้คำแนะนำ ที่เหมาะสมกับลุกค้าได้

ติดต่อสอบถามและปรึกษาระบบลมได้ที่
1. Hotline : 081-899-5566
2. Inbox : https://m.me/somaxcompressor
3. Line Official : @somax
4. E-Mail : telesales@siriwat1976.com